13 Jan 2023
ในปี 2023 นี้มีแนวโน้มที่กระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าจะมาแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากงาน Motor Expo ช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมาที่มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์อย่างเต็มรูปแบบและเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน รถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่มีความน่าสนใจในยุคนี้ เพื่อนๆ หลายคนของ Mr. OOHOO คงจะมีแอบไปเล็งๆ รถยนต์ไฟฟ้ากันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังมีจุดกังวลหลายด้าน เช่น รถยนต์ไฟฟ้าจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของเราไหม การชาร์จไฟต้องชาร์จยังไงได้บ้าง ประหยัดเงินได้มากกว่าใช้น้ำมันจริงไหม มีประกันรถยนต์ไฟฟ้ารองรับหรือเปล่า เป็นต้น เลยยังไม่กล้าตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้
วันนี้ Mr. OOHOO จะมาเล่าเกี่ยวกับเรื่องน่ารู้ของรถยนต์ไฟฟ้า เผื่อจะได้ช่วยให้เพื่อนๆ ตัดสินใจได้มากขึ้นว่าควรซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ดีหรือเปล่า ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย
รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV (Electric Vehicle) เกิดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี จึงทำให้รถยนต์ชนิดนี้ใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน และสามารถชาร์จไฟได้อย่างสม่ำเสมอเมื่อแบตเตอรี่หมด โดยรถยนต์ไฟฟ้านี้จะมีองค์ประกอบหลักสำหรับการขับเคลื่อน คือ แบตเตอรี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า
รถยนต์ไฟฟ้ามีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
1.ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด หรือ (HEV, Hybrid electric vehicle)
รถยนต์ไฮบริด เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม (Hybrid) มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปและมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ จึงมีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่ายานยนต์ปกติ รวมทั้งยังสามารถนำพลังงานกลที่เหลือหรือไม่ใช้ประโยชน์เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ แต่ไม่มีช่องเสียบปลั๊ก เพื่อชาร์จไฟฟ้า
2.ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อยอดมาจาก HEV ซึ่งมีการทำงานทั้ง 2 ระบบ (น้ำมันและไฟฟ้า) แต่เพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟขึ้นมา (plug-in) การอัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกและนำมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่นั้น ทำให้ PHEV สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่า HEV
3.ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle)
เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยไอเสียออกมาเลย เนื่องจากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งมาจากการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศจากยานยนต์โดยตรง
4.ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV, Fuel Cell Electric Vehicle)
ไฟฟ้าที่มีเซลล์เชื้อเพลิง เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) โดยเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากภายนอก มีความจุพลังงานจำเพาะที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เชื่อว่าเป็นคำตอบที่แท้จริงของพลังงานสะอาดในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดอย่างสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Station) มีน้อยมาก เหมือนที่รถ BEV มี Charging Station ที่น้อยเมื่อหลายปีก่อน
สิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆ ในการออกรถยนต์สักคัน นั่นคือจุดประสงค์ของการใช้งาน เพื่อที่จะสามารถเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่ตรงกับความต้องการในการใช้งานของเราให้มากที่สุด Mr. OOHOO เชื่อว่าแต่ละคนมีความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการขับไปทำงาน เช้าเย็นกลับในเส้นทางเดิมประจำ, ขับไปเรียน, ขับไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน, ขับในเมืองเป็นหลัก, ขับรถในการส่งของหรือขับหลากหลายเส้นทางในหนึ่งวัน และใช้ขับทางไกล เป็นต้น
โดยถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่ขับรถในเส้นทางเดิมๆ บ่อยๆ เป็นประจำ อยู่ในเมืองใหญ่ รถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสามารถตอบโจทย์ในการใช้งานของเพื่อนๆ ได้ดีเลยทีเดียวครับ แต่ถ้าหากว่าเพื่อนๆ เป็นคนที่ขับรถออกทางไกลบ่อยๆ ตรงนี้อาจจะยังไม่ตอบโจทย์มากนัก เนื่องจากสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะยังไม่ครอบคลุมมากนัก ในพื้นที่ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ เช่น เมืองรอง เส้นทางรอง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อนๆ ที่เป็นสายขับรถทางไกลก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะตั้งแต่ปลายปี 2022 ที่ผ่านมา สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ผุดขึ้นมาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าแล้ว ทำให้สามารถรองรับการขับออกไปต่างจังหวัดหรือเส้นทางรองได้มากขึ้น
ถึงแม้ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าจะสูงกว่ารถยนต์แบบใช้เชื้อเพลิงทั่วไป แต่หากมองในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้าถือว่าเป็นทางเลือกที่มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะค่าพลังงานไฟฟ้านั้นมีราคาถูกกว่าน้ำมันเชื้อเพลิง
ค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาผันผวนสูง แต่ราคาค่าไฟฟ้าค่อนข้างคงที่ ในการชาร์จครั้งนึง จะเสียค่าไฟเฉลี่ยครั้งละ 90-150 บาทต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง หรือประมาณ 0.60 - 1 บาทต่อกิโลเมตร ในขณะที่น้ำมันเชื้อเพลิงจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3 บาทต่อกิโลเมตร ทำให้สามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงรถไปได้มากกว่า 2-3 เท่า แถมยังช่วยในการลดการปล่อยมลพิษที่้เป็นปัญหาเรื้อรังในปัจจุบันอย่าง PM 2.5 ได้ส่วนนึงด้วย เซฟเงินค่าน้ำมันแถมได้ช่วยโลกแบบนี้ ดีไม่ไหว
รถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นจะต้องชาร์จไฟเพื่อใช้งาน โดยอีกจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า คือ สามารถชาร์จไฟได้ทั้งที่บ้านและสถานีชาร์จไฟฟ้าตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามีความสะดวกมากๆ ทั้งนี้รูปแบบในการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้ามี 3 รูปแบบ ดังนี้
1. Quick Charger การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) โดยใช้ตู้ EV Charger (สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า) จ่ายไฟเข้าที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ใช้เวลาการชาร์จ 40-60 นาที ซึ่งเป็นวิธีการชาร์จไฟที่เร็วที่สุด ใช้ได้กับหัวชาร์จ CHAdeMo นิยมใช้ในแถบเอเชีย และหัวชาร์จ CCS นิยมใช้ในยุโรปและอเมริกา
2. การชาร์จฯ แบบธรรมดา แบบ Double Speed Charge (เครื่องชาร์จ Wall Box) เป็นการชาร์จด้วยไฟกระแสไฟฟ้าสลับ (AC Charging) ส่วนใหญ่จะเห็นกันในรูปแบบของตู้ชาร์จติดผนังตามห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรม
3. การชาร์จฯ แบบธรรมดา แบบ Normal Charge เป็นการชาร์จรถยนต์ด้วยไฟฟ้าจากการต่อจากเต้ารับภายในบ้านโดยตรง มิเตอร์ไฟของบ้านต้องสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าขั้นต่ำ 15(45)A และเต้ารับไฟในบ้านต้องได้รับการติดตั้งใหม่ เป็นเต้ารับเฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไม่สามารถใช้เต้ารับแบบธรรมดาได้
โดยในการชาร์จไฟที่บ้าน อาจจะต้องเตรียมความพร้อมในการติดตั้งอุปกรณ์เสริมสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเป็นตัวจ่ายไฟที่ต่อตรงมากจากไฟหลักของบ้าน เพราะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะใช้กำลังไฟสูง บางบ้านอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนกำลังไฟ มิเตอร์ หรือเบรกเกอร์ใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังไฟที่ใช้ หากกำลังไฟเพียงพอสามารถให้ช่างจากศูนย์บริการเข้ามาติดตั้งจุดชาร์จไฟได้ แต่ถ้ากำลังไฟไม่เพียงพอให้ติดต่อกับการไฟฟ้าที่ดูแลในเขตพื้นที่ของเพื่อนๆ เพื่อดำเนินการเปลี่ยนกำลังไฟให้เหมาะสม
ผ่อนเงินสด 0%
ไม่มีบัตรเครดิตก็ผ่อนได้
การันตีราคาถูกที่สุด
เจอที่อื่นถูกกว่าเราพร้อมคืนเงินทันที
เปรียบเทียบได้เลย
เช็คราคา ความคุ้มค่าก่อนสั่งซื้อ
ซื้อเองได้ 24 ชั่วโมง
ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่โทรตาม
รับกรมธรรม์ได้เลย
ผ่านระบบออนไลน์
เจ้าหน้าที่พร้อมบริการด้วยใจ
เมื่อคุณต้องการคำแนะนำ
สิ่งที่มีความโดดเด่นที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความน่าสนใจเลย คือ ค่าซ่อมบำรุงที่น้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปกติทั่วไป เนื่องจาก เครื่องยนต์ของรถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนประกอบน้อยกว่า และไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์เหมือนรถยนต์ทั่วไป และการเสื่อมของเครื่องยนต์ของรถยนต์แบบใช้น้ำมันจะเสื่อมเร็วกว่ารถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย
แต่สิ่งที่ต้องระวังคือความเสียหายที่ตัวแบตเตอรี่ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่แพงที่สุดชิ้นหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้า ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 372,000 - 558,000 บาทต่อคัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแบตเตอรี่มีความทนทานและมีอายุการใช้งานสูง จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยง่าย นอกจากนี้ก็มีอีกจุดหนึ่งที่สำคัญก็คือ ช่องชาร์จไฟ, สายไฟ และปลั๊กเชื่อมต่อต่างๆ เพื่อนๆ ควรสังเกตและตรวจสอบให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดไฟรั่วหรือลัดวงจรได้
การดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้านอกเหนือจากชิ้นส่วนที่กล่าวไปด้านบน ในแง่การดูแลแบบพื้นฐานทั่วไปไม่ต่างกันมากกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปกติทั่วไป เช่น เช็กระยะ ตรวจเช็กลมยาง หรือระบบไฟส่องสว่างทั่วไป เป็นต้น
ในการชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งครั้ง สามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 300-500 กม. เท่านั้น ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสเปกของรถรุ่นนั้นๆ ด้วย เพื่อนๆ อาจต้องเช็กให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ ด้วยเหตุผลนี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าจึงเหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองใหญ่มากกว่า สำหรับผู้ที่ต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในการเดินทางไกล อาจต้องวางแผนให้ดี ศึกษาเส้นทางที่เพื่อนๆ จะไป สำรวจว่ามีสถานีชาร์จไฟที่ไหนรองรับหรือเปล่า
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของระยะเวลาในการชาร์จที่ต้องวางแผนเผื่อเวลาไว้ด้วย โดยปกติแล้วการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงโดยปกติ จะใช้เวลาในการเติมไม่เกิน 2-3 นาทีต่อครั้ง ซึ่งแตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องใช้เวลาในการชาร์จแต่ละครั้งถ้าเป็นหัวชาร์จธรรมดาต้องใช้เวลา 6-8 ชั่วโมง หรือแม้แต่เป็นสถานีชาร์จไฟแบบเร็วก็ยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงอยู่ดี ทำให้เสียเวลาในการเดินทางพอสมควร ดังนั้นเพื่อนๆ ที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าควรจะวางแผนโดยชาร์จให้เต็มก่อนออกจากบ้านเสมอ เพื่อเพิ่มความมั่นใจขณะเดินทาง และจะยิ่งเพิ่มความอุ่นใจไปอีกขั้น ถ้าซื้อประกันรถยนต์ไฟฟ้าติดรถไว้ด้วย Mr. OOHOO แนะนำให้ซื้อที่ OOHOO.io เท่านั้น แหล่งรวมประกันรถยนต์ทุกรูปแบบ รวมไปถึงประกันรถยนต์ไฟฟ้าก็มีกับเค้าด้วย มีทุกประเภทตั้งแต่ชั้น 1 ถึง 3+ เปรียบเทียบและซื้อด้วยตัวเองง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง อยู่ที่ไหนก็ซื้อได้สะดวกที่สุด แถมมีส่วนลดให้ตลอดอีก อู้หู! ของมันต้องมีแล้วนะ!
ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้มีการอนุมัติมติมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงแนวทางในการลดภาษีทั้งอาการขาเข้า ภาษีสรรพสามิต และให้เงินอุดหนุนไปแล้ว โดย ครม. อนุมัติกรอบวง 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์
โดยมีการอนุมัติเพิ่มเติมจากมติที่ผ่านมา ได้แก่
- เงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน
- ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0%
- ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน (CBU) สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ถึงปี 2566
- ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศ (CKD) จำนวน 9 รายการ
นอกจากนี้ในช่วงปลายปี 2022 รัฐบาลยังได้ออกพระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า พ.ศ. 2565 โดยกำหนดให้ลดอัตราภาษีประจำปี สำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่จดทะเบียนตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 - 30 ก.ย. 68 โดยลดลง 80% ของอัตราภาษีที่กำหนดเป็นเวลา 1 ปี (นับแต่วันที่จดทะเบียน)
เรียกได้ว่า รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันแบบสุดๆ นี่ก็เป็นอีกจุดนึงที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลับมามีความน่าสนใจมาก เพราะราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงจนแทบจะไม่ต่างจากรถยนต์สันดาปทั่วไปแล้ว
เป็นยังไงกันบ้างครับเพื่อนๆ หลังจากที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว Mr. OOHOO หวังว่าจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไม่มากก็น้อยนะครับ ถ้าตัดสินใจจะออกรถยนต์ไฟฟ้าแล้วก็อย่าลืมเช็กฤกษ์ออกรถและก็ซื้อประกันรถยนต์ติดไว้ด้วย ที่ OOHOO.io มีประกันรถยนต์หลายประเภทให้เพื่อนๆได้เปรียบเทียบและเลือกซื้อด้วยตัวเอง รับกรมธรรม์ออนไลน์พร้อมคุ้มครองทันทีหลังซื้อ ครบเครื่องเรื่องประกันรถยนต์ขนาดนี้ อย่าพลาดนะ ซื้อเลย!
ขอบคุณข้อมูล : kapook.com / autospinn.com / nissan.co.th / bangkokbiznews.com